ความเชื่อเกี่ยวกับเมืองลับแลของคนไทยนั้นมีมาเนิ่นนาน และเป็นเรื่องราวที่เราท่านมักได้ยินจากปากคำการถ่ายทอดของผู้เฒ่าผู้แก่กันมาเสมอ
เมืองลับแลในความเชื่อของผู้คนในสมัยก่อนมีอยู่หลายแห่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ของเขตภาคเหนือและอีสานด้วยแล้ว ดูเหมือนว่าจะมีตำนานปริศนาอาถรรพ์เกี่ยวกับเมืองลับแลมากกว่าภาคอื่นๆ เช่น เมืองลับแลใต้บาดาลของพญานาค เมืองลับแลของชาวบังบดที่มีเรื่องเล่าว่ามักมาปรากฏกายให้มนุษย์เห็นอยู่บ่อยๆ หรือแม้แต่เมืองแม่ม่าย ซึ่งก็ถือว่าเป็นอีกเมืองหนึ่งในดินแดนลับแลอันอยู่คนละมิติกับเมืองมนุษย์
วัดบ้านถ้ำ จังหวัดกาญจนบุรี ก็เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับเมืองลับแล ชาวบ้านที่นั่นเชื่อเรื่องนี้ เพราะเคยมีพระรูปหนึ่งเดินทางเข้าไปในเมืองลับแลแห่งนี้มาแล้ว
วัดบ้านถ้ำเป้นวัดเก่าแก่ ภายในวัดมีถ้ำใหญ่เป็นสัญลักษณ์ มีหลวงพ่อใหญ่ชินราชแต่ชาวบ้านเรียกว่า “หลวงพ่อใหญ่” เป็นที่นับถือของชาวบ้านทั่วไป
กล่าวกันว่าเมื่อถึงวันที่ใกล้จะมีการเกณฑ์ทหาร จะมีบรรดาชายหนุ่มวัยเข้าเกณฑ์ต่างๆ พากันไปกราบไหว้บนบานหลวงพ่อใหญ่ในถ้ำ เพื่อให้ท่านช่วยไม่ให้ต้องถูกเกณฑ์ทหาร ส่วนจะสำเร็จหรือไม่นั้นไม่มีการยืนยัน แต่ที่แน่ๆ หลังจากที่การคัดเลือกทหารผ่านพ้นไปแล้ว ชายหนุ่มเหล่านั้นจะพากันไปแก้บนหลวงพ่อใหญ่ บางคนใช้ไข่ต้ม บางคนใช้หัวหมู สันนิษฐานว่าสิ่งที่บนบานคงจะเป็นความจริง
วัดบ้านถ้ำปรากฏตามทะเบียนตั้งวัดที่กรมการศาสนาตั้งแต่เมื่อ พ.ศ. 2325 มีเนื้อที่ 73 ไร่ 25 ตารางวา ดังที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นว่าวัดบ้านถ้ำเป็นวัดโบราณ มีอายุเก่าแก่มาหลายชั่วอายุคน บริเวณวัดเป็นลานกว้างด้นหลังจรดเขา ด้านหน้าจรดแม่น้ำแม่กลอง มีชายหาดสวยงามอยู่หน้าวัด ภูเขาที่ตั้งถ้ำสูงราว 200 กว่าเมตร ภูเขาลูกนี้เป็นเทือกเดียวติดต่อกันหลายยอดเป็นพรืดไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ สุดปลายเขาที่เขาแหลมและเขาตกถ้ำมังกรทอง
วัดถ้ำมีประวัติเล่าต่อๆกันมาว่า สร้างในสมัยยุคสุโขทัย ตามประวัติเล่าว่ามีเศรษฐีคนหนึ่งร่ำรวยมาก ได้มาเห็นถ้ำที่บ้านถ้ำนี้ใหญ่โตสวยงามน่าพักอาศัย มีปล่องสว่างดี มีลมพัดถ่ายเทอากาศเข้าออกอยู่เสมอ ทำให้เย็นสบายคล้ายเข้าไปอยู่ในห้องแอร์ จึงนิมนต์หลวงพ่อองค์หนึ่งชื่อว่า “หลวงพ่อทอง” ผู้เป็นเจ้าอาวาส ซึ่งปรากฏว่าเป็นผู้มีชื่อเสียงโด่งดังทางด้านพุทธาคมให้มาอยู่จำพรรษาในถ้ำนี้
หลวงพ่อทองได้เลี้ยงนกสาลิกาตัวหนึ่ง ท่านหัดให้มันพูดภาษาคนได้ แม้กระทั่งทุกวันนี้ก็ยังมีนกสาลิกาอาศัยอยู่ ท่านเศรษฐีนิมนต์ให้หลวงพ่อทองมาอยู่จำพรรษาในถ้ำนี้และอาศัยหลวงพ่อช่วยสั่งสอนธรรมะให้ จนกระทั่งเกิดศรัธาเลื่อมใสยิ่งๆขึ้น ท่านจึงได้จัดสรรการสร้างพระพุทธรูปไว้ในถ้ำองค์หนึ่ง ลักษณะแบบพระพุทธชินราช ความสูง 11 ศอก หน้าตักกว้าง 8 ศอกเศษ ภายในไม่ทราบว่าเป็นอะไรแน่ แต่ภายนอกพอกด้วยปูนลงรักปิดทอง ไว้เป็นที่สักการะกราบไหว้บูชา
ตามตำนานกล่าวว่าหลวงพ่อทองท่านมีญาณแก่กล้ามาก สามารถเดินทางไปตามซอกหินตลอดภูเขาได้ทะลุถึงเขาตกถ้ำมังกรทอง ซึ่งอยู่ห่างไกลจากวัดบ้านถ้ำไปประมาณ 10 กิโลเมตร เมื่อไปถึงแล้วท่านก็ลงสรงน้ำที่สระบัวแล้วเก็บดอกบัวมา 1 มัด เพื่อบูชาหลวงพ่อใหญ่ในถ้ำ ท่านทำอย่างนี้เป็นกิจวัตรเสมอมา
การเดินทางชำแรกผ่านภูเขาของหลวงพ่อดังว่านี้ ต้องใช้ไต้ 1 มัด 20 ใบ จุดไปกลับพอดีหมด ระยะทางที่ไปนี้ถ้าสมาธิไม่กล้าพอก็ไปไม่ได้ตลอด เพราะในบาดาลมีภูเขาพื้นดินและหาดทรายอันสวยงาม มีหมู่บ้านชาวเมืองลับแลอยู่มากมาย ผู้ที่จะผ่านไปได้ต้องมีศีลมีสัตย์ดี ถ้าไร้ศีลไร้สัตย์ก็จะถูกนางผีเสื้อยักษ์ที่เฝ้าด่านประตูทำอันตรายเอา
กาลต่อมา เมื่อทานเศรษฐีมีลูกชายเติบโตขึ้นจึงนำมาถวายเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อ โดยให้บวชเป็นสามเณร ต่อมาสามเณรเห็นหลวงพ่อไปในช่องภูเขาได้ทุกวันก็อยากไปบ้าง แม้หลวงพ่อจะห้ามปรามก็ไม่ฟัง หลวงพ่อจึงต้องให้สามเณรตกลงให้สัญญากันก่อนว่า ในระว่างที่ไปในถ้ำถ้าเห็นอะไรต้องนิ่งไว้ เดินสำรวมอินทรีย์ตามรอยเท้าหลวงพ่อไป อย่าไปเกี่ยวข้องหลงใหลในสิ่งที่เห็นเป็นเด็ดขาด สามเณรยอมรับสัญญา หลวงพ่อจึงได้พาสามเณรเดินทางไปด้วยกัน
พอเดินทางไปถึงประตูเมืองลับแล หลวงพ่อมีสมาธิจิตแก่กล้าก็สามารถเดินผ่านไปได้ตามปกติ ส่วนสามเณรเดินทางก้าวย่างตามรอยเท้าหลวงพ่อมาข้างหลังด้วยสมาธิจิตไม่มั่นคง นางยักษ์ผู้เฝ้าด่านประตูเห็นสามเณรแปลกหน้ามาก็คิดจะทดสอบดู จึงแปลงกายเป็นสาวน้อยรูปร่างโสภา เข้าทักทายด้วยวาจาอ่อนหวาน สามเณรกำลังรุ่นคะนองมองเห็นสาวสวย ก็เสียสมาธิจิตคิดเสน่หา จึงเอ่ยวาจาเกี้ยวพาราสี พอได้ช่องทีก็จะทำการล่วงเกิน
เมื่อนางยักษ์ในร่างสาวน้อยทดสอบดูก็รู้ได้ว่า สามเณรนี้ไร้สัตย์ไร้ศีล ไม่สมควรให้พลัดผ่านประตูเมืองลับแลเข้าไป จึงได้เอ่ยวาจาห้ามปราม ฝ่ายสามเณรไม่ยอมฟังเสียง จะรีบตามหลวงพ่อเข้าไปให้ได้ สาวน้อยจึงกลายร่างเป็นยักษ์ตรงเข้าหักคอสามเณรจนตาย
ครั้นหลวงพ่อเมื่อเดินทางเข้าถึงหมู่บ้านเมืองลับแล ยืนรออยู่ครู่ใหญ่ก็ไม่เห็นสามเณรมาสักที จึงนึกเฉลียวใจว่าเณรคงได้รับเภทภัยจากนางยักษ์เป็นแน่ จึงรีบกลับไปดูก็พบสามเณรถูกหักคอตายเสียแล้ว ถามนางยักษ์ได้ความจริงว่า สามเณรทำผิดศีลผิดสัตย์จึงถูกลงโทษถึงตาย
หลวงพ่อจึงขอร้องนางยักษ์ ให้ช่วยแก้ไขสามเณรให้ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง พอสามเณรฟื้นขึ้นมาแล้วก็รีบพากลับถ้ำ ตั้งแต่วันนั้นมาสามเณรก็ล้มป่วยโดยไม่มีใครทราบสาเหตุ อยู่จนครบ 7 วันสามาเณรก็ถึงแก่มรณภาพ มีแต่หลวงพ่อองค์เดียวเท่านั้นที่รู้สาเหตุการตายของสามเณร แต่เพราะกลัวจะเกิดความยุ่งยากจึงไม่บอกเรื่องนี้ให้ใครทราบ
ตั้งแต่วันนั้นมาหลวงพ่อจึงเอาหินอุดช่องถ้ำที่เคยชำแรกภูเขาไปอย่างมิดชิดเลย เพื่อป้องกันมิให้ใครหลงเข้าไปอีก ทั้งตัวหลวงพ่อเองก็เลิกชำแรกเข้าช่องภูเขาตั้งแต่นั้นมา ช่องเขานั้นจึงถูกอุดมานานแสนนานตราบจนกระทั่งถึงทุกวันนี้
ต่อมาปรากฏว่าได้มีหินงอกย้อยมาปิดทางจนหมดสิ้น เหลือไว้แต่เพียงร่องรอยเท่านั้น ฝ่ายท่านเศรษฐีนั้นครั้นลูกชายตายไปแล้ว จึงคิดว่าต่อไปภายภาคหน้า ถ้าลูกหลานเข้ามาบวชอยู่ในถ้ำนี้อีก ก็คงจะเกิดเหตุเภทภัยถึงแก่ความตายอย่างนี้อีกเป็นแน่ จึงสั่งให้คนงานทำการสร้างวัดที่เชิงเขาข้างล่างตรงปากถ้ำ แล้วขนานนามเรียกว่า “วัดบ้านถ้ำ” มาตราบเท่าทุกวันนี้
เกี่ยวกับเรื่องเมืองลับแลนี้ มีสิ่งแปลกที่ชาวบ้านเล่ากันต่อๆมาว่า เคยมีคนหลงเข้าไปในหมู่บ้านเมืองลับแลบ่อยๆ ถ้าปีไหนมีฝนตกชุกมาก ปีนั้นจะมีน้ำไหลบ่ามาตามหุบเขาไหลลงลำธารที่ห้วย น้ำวิ่งไหลลงที่หลังวัดเป็นน้ำตกที่สวยงาม
ในลำธารที่น้ำไหลมานั้น จะเห็นมีเปลือกหมาก เปลือกส้มโอ และผลไม้อื่นๆ ไหลตามน้ำลงมาด้วย คนแถบนั้นเชื่อกันว่าเป็นสิ่งของที่ชาวเมืองลับแลทิ้งแล้วลอยตามน้ำมา
ชาวบ้านในละแวกนั้นเชื่อกันว่า เรื่องราวของเมืองลับแลเป็นเรื่องจริง อีกทั้งยังมีคนในหมู่บ้านเล่าว่า สมัยก่อนมีชายคนหนึ่งเคยพลัดหลงเข้าไปในเมืองลับแล โดยครั้งนั้นเขาเข้าไปตัดฟืนในป่า ขณะที่กำลังก้มลงเก็บฟืนพอเงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าสภาพป่าเปลื่ยนไป ต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ก็หายไปหมด กลายเป็นบ้านเรือนของผู้คน ทำให้รู้สึกตกใจมาก ชาวเมืองลับแลแต่งตัวคล้ายๆกัน พวกเขาไม่พูดคุยกันเลย ชายคนนั้นจึงพยายามตั้งสติทำสมาธิสักพักก็กลับมาที่เก่า
นี่คือตำนานปริศนาแห่งเมืองลับแลที่วัดบ้านถ้ำ ตั้งอยู่บนเส้นทางเข้าเขื่อนวชิราลงกรณ์ จังหวัดกาญจนบุรี
คำศัพท์ภาษาอังกฤษ
- Legendary town แปลว่า เมืองลับแล,เมืองในตำนาน